การวางแผนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
การวางแผนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือภาษีที่คนทั่วไปจ่ายให้รัฐ เมื่อมีเงินได้ก็ต้องเสียภาษี แต่จะทำอย่างไรให้เสียภาษีในอัตราที่ต่ำที่สุด หลักการง่าย ๆ คือ
- กระจายรายได้
- เพิ่มลดหย่อน
- ระบุประเภทรายได้ให้เสียภาษีน้อยที่สุด
- จดทะเบียนสมรส
การกระจายรายได้
เนื่องจากประเทศไทยใช้ภาษีอัตราก้าวหน้า ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Progressive Rate ไม่ทราบว่าใครบัญญัติศัพท์ภาษาไทยคำนี้นะครับ คำว่าอัตราก้าวหน้าฟังดูแล้วรู้สึกดีเหมือนถ้าเสียภาษีแล้วจะก้าวหน้า แต่ผมว่าน่าจะเรียกอัตราขูดรีดมากกว่า
หลักการของภาษีอัตราก้าวหน้าคือถ้ามีเงินได้น้อย เสียในอัตราที่ต่ำกว่า แต่ถ้าเงินได้สูงจะเสียในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ถ้าได้เงิน 500,000 บาท อาจเสียภาษีแค่ 50,000 บาท หรือ 10% แต่ถ้ารายได้ 2 ล้านบาท จะไม่เสียที่ 10% อาจเสียที่ 20% กลายเป็น 400,000 บาท จากตัวอย่างดังกล่าว ถ้ารับเงินสองล้าน แทนที่จะรับก้อนเดียวสองล้านอาจเปลี่ยนเป็นเงิน 4 ก้อน ก้อนละ 500,000 ก็จะจ่ายภาษีเท่ากับ 50,000 x 4 = 200,000 บาท ไม่ต้องจ่าย 400,000 บาทเหมือนกับก้อนใหญ่ก้อนเดียว
วิธีการกระจายเงินได้ทำได้ 2 ลักษณะหลัก ๆ ได้แก่
- การหาคนมาช่วยรับเงิน ตัวอย่างเช่น ทำงาน 4 คนค่าจ้าง 2 ล้านบาท แทนที่จะรับคนเดียว 2 ล้าน อาจจะเจรจากับผู้จ้างว่าให้จ่าย 4 คนคนละ 500,000 แบบนี้ก็จะทำให้เสียภาษีน้อยลง
- การกระจายงวดการรับเงิน เช่น เงิน 2 ล้าน แทนที่จะรับครั้งเดียว อาจเปลี่ยนเป็นรับเงิน 2 ครั้ง เช่น ถ้ารับเงินช่วงเดือน ธ.ค. อาจขอให้จ่าย 1 ล้านบาทในเดือน ธ.ค. และอีก 1 ล้านไปจ่ายในเดือน ม.ค. แบบนี้ก็จะช่วยทำให้เสียภาษีน้อยลง
ในอดีตคนที่รับรายได้ที่ไม่ใช่เงินเดือนจะมีเทคนิคในการกระจายรายได้คือการจดคณะบุคคล แต่ปัจจุบันกรมสรรพากรได้ทำการจำกัดการจดคณะบุคคลทำให้ไม่สามารถที่จะใช้ได้อย่างง่าย ๆ จึงจำเป็นต้องศึกษาเทคนิคอื่น ๆ ในการวางแผนภาษีต่อไป
เพิ่มค่าลดหย่อน
ปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายมากมายที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ และที่มักจะพูดถึงกันมากคือประกันชีวิตและกองทุน ซึ่งเป็นการลดหย่อนเต็ม ๆ นอกจากนั้นก็มีเรื่องของดอกเบี้ยผ่อนบ้าน เลี้ยงดูบุพการี เงินบริจาค ฯลฯ รายละเอียดเหล่านี้สามารถหาศึกษาได้ทั่ว ๆ ไป
นอกจากค่าลดหย่อนทั่ว ๆ ไปแล้ว หากรายได้ของคุณเป็นงานพวกรับเหมา คุณสามารถหารายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำมาลงเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มค่าลดหย่อนได้ด้วย เช่น หากรับเหมาก่อสร้าง ค่าแรงคนงานสามารถนำมาหักลดหย่อนได้ แต่ต้องมีหลักฐานชัดเจนว่าคนงานคนนี้ ได้มารับเงินจากเราไปจำนวนเงินเท่าไหร่
ระบุประเภทรายได้ให้เสียภาษีน้อยที่สุด
หากถามว่าอาชีพไหนเสียภาษีสูงที่สุดก็ต้องตอบว่ามนุษย์เงินเดือนเป็นอาชีพที่เสียภาษีสูงที่สุด ดังนั้นเมื่อไหร่ที่คุณมีรายได้ จำไว้ว่าต้องไม่เป็นเงินเดือนหรือค่าจ้าง
รายได้คนเรามีหลายประเภท เช่น
- เงินเดือน ค่าจ้าง
- ดอกเบี้ย เงินปันผล
- วิชาชีพอิสระ
- รับเหมา
- ขนส่ง
- เกษตรกร
จริง ๆ มีมากกว่านี้ครับ ซึ่งเราควรได้ศึกษาประเภทรายได้ต่าง ๆ ว่ามีวิธีการเสียภาษีอย่างไร และพยายามปรับเงื่อนไขรายได้ของเราให้เข้าสู่รายได้ประเภทนั้น ๆ โดยดูว่ารายได้แต่ละประเภทสามารถหักค่าใช้จ่ายได้เท่าไหร่ ยิ่งรายได้นั้นสามารถหักค่าใช้จ่ายได้สูง ก็จะทำให้เงินได้สุทธิลดลงก็จะทำให้เสียภาษีน้อยลง
ตัวอย่างเช่น หากเราขายข้าวเปลือกหรือข้าวสาร สมมติขายได้ 1 ล้านบาท
- ถ้าเป็นอาชีพขายสินค้าที่มิได้ผลิตเอง คุณจะมีเงินได้สุทธิ 200,000 บาท แต่หากคุณบอกว่าคุณเป็นเกษตรกร คุณจะมีเงินได้สุทธิ 150,000 บาท จะเสียภาษีน้อยลง
- ถ้ามีคนจ้างคุณขับรถส่งของ สมมติถ้ามีเงินได้ 500,000 บาท ถ้าเป็นค่าจ้างมีเงินได้ 410,000 บาท แต่ถ้าเป็นรับจ้างขนส่งเงินได้สุทธิจะเหลือแค่ 100,000 บาท
- ถ้าคุณรับจ้างพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สมมติถ้ารายได้ 1.5 ล้านบาท ถ้าเป็นค่าจ้างจะมีเงินได้สุทธิ 1.4 ล้าน บาท เสียภาษีประมาณสองแสนห้า แต่หากเป็นงานรับเหมาจะมีเงินได้สุทธิแค่ 450,000 เสียภาษีแค่สามหมื่นบาท
จากตัวอย่างก่อนจะมีรายได้หากเราได้ลองศึกษาเรื่องภาษีและพยายามที่จะดันเงื่อนไขการรับเงินเข้าสู่รายได้ให้ถูกประเภทแล้ว คุณจะเสียภาษีน้อยลงมาก เรื่องเงื่อนไขการรับเงินนี้มักจะเป็นปัญหากับสรรพากรมาก เพราะการระบุประเภทรายได้นั้นไม่มีกฎระเบียบเงื่อนไขที่แน่นอน เรื่องนี้คงต้องอาศัยความสามารถในการเจรจาต่อรอง
อย่างไรก็ดีในการระบุประเภทรายได้ให้ระวังอีกเรื่องหนึ่งคืออาชีพบางประเภทหากรายได้เกิน 1.8 ล้านต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT ด้วย ซึ่งประเด็นนี้กลายเป็นจุดอ่อนให้สรรพากรรีดภาษีจากเราได้อีก ดังนั้นการรับรายได้ถ้าคอยระวังอย่าให้เกิน 1.8 ล้านจะดีที่สุด
จดทะเบียนสมรส
ในอดีตการจดทะเบียนสมรสจะทำให้เสียภาษีเพิ่มขึ้น เพราะจะบังคับให้รายได้บางส่วนต้องยื่นรวมเป็นรายได้สามี แต่หลังจากศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าสิ่งนี้ผิดรัฐธรรมนูญ ทำให้กรมสรรพากรต้องเปลี่ยนเงื่อนไขใหม่ ปัจจุบันกลายเป็นว่าการจดทะเบียนสมรสจะทำให้เสียภาษีน้อยลง เช่น
- รายได้บางส่วนของสามี สามารถโอนมาเป็นรายได้ของภรรยาได้
- ถ้าสามีมีรายได้ฝ่ายเดียว รายได้บางส่วนสามารถหารสองคำนวณภาษีได้
ในเรื่องการจดทะเบียนสมรสแล้วจะทำให้เสียภาษีน้อยลงนั้นมีผลประโยชน์อีกมากมาย สามารถศึกษาได้ทั่วไปครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเป็นข้อจำกัดคือสำหรับคนทำงานกินเงินเดือน ประเด็นนี้ไม่ค่อยช่วยอะไรมากนัก