ถูกสรรพากรหลอก
มีผู้เดือดร้อนคนหนึ่งติดต่อมาที่ผม ขออนุญาตใช้ชื่อว่าคุณ ก. (แล้วเธอจะเปิดเผยชื่อจริงให้ภายหลังหากเรื่องราวทั้งหมดจบลงด้วยดี) ได้เปิดบริษัททำธุรกิจตั้งแต่ปี 2548 ใช้สำนักงานบัญชีแห่งหนึ่งทำบัญชี ต่อมาเมื่อธุรกิจไปไม่ได้ ในกลางปี 2555 เธอจึงตัดสินใจปิดบริษัท โดยจ้างสำนักงานบัญชีทำการชำระบัญชี ซึ่งระหว่างนี้ให้สำนักงานบัญชีทำการติดต่อกับสรรพากรเอง
ต่อมาได้มีหนังสือเชิญพบจากสรรพากรมาถึงเธอเรียกเข้าไปคุย คุณ ก. ได้ติดต่อสำนักงานบัญชีให้เข้ามาช่วย ทาง สนง.บัญชีได้ติดต่อกับสรรพากรไประดับหนึ่ง และได้แจ้งกลับมาว่าให้คุณ ก. เข้าไปคุยกับสรรพากรเอง เพราะมีประเด็นเรื่องการปิดบริษัท สรรพากรให้ทำอะไรก็ตามนั้น เมื่อคุณ ก. ได้เข้าไปพบกับสรรพากร เจ้าหน้าที่ชื่อคุณ ว. ได้เข้ามาคุยด้วย มีประเด็นตามนี้
– เนื่องจากมีภาษีซื้อคงค้างที่ขอคืน ให้คุณ ก. เซ็นยกเลิกการขอคืนภาษีในส่วนนี้ คุณ ก. ยอมเซ็น เพราะสำนักงานบัญชีแนะนำมา และคิดว่าจะเป็นจบเรื่อง
– สรรพากรขอดูเอกสารภาษีซื้อทั้งหมด เนื่องจากที่ผ่านมาใช้ สนง.บัญชีทำบัญชี จึงเก็บเอกสารไว้ที่นั่น เมื่อไปทวงถามได้คำตอบว่าเอกสารถูกน้ำท่วมหายหมดแล้ว จึงไม่สามารถนำเอกสารไปให้สรรพากรได้
– คุณ ว. แนะนำให้คุณ ก. ว่าต่อไปนี้ทำตัวหายไป ได้รับเอกสารอะไรจากสรรพากรก็เฉยไว้
ในระหว่างการเจรจา คุณ ว. ได้พูดจาข่มขู่นา ๆ เช่น บอกว่าคุณอย่าคิดนะว่าคุณจะต่อกรกับสรรพากรได้ ให้ทำตัวหายไปแล้วจะไม่มีปัญหา
ไม่กี่เดือนต่อมา คุณ ก. ได้รับจดหมายจากสรรพากรว่ามีภาษีค้างชำระเกือบสี่แสน เนื่องจากไม่สามารถส่งมอบหลักฐานภาษีซื้อได้ แต่เนื่องจากคำแนะนำของคุณ ว. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรให้ดูแลเรื่องนี้ ทำให้คุณ ก. เพิกเฉยต่อจดหมายดังกล่าว เพราะตอนแรกเป็นหน่วยงานตรวจสอบภาษี หน่วยงานเดียวกับคุณ ว. โดยคุณ ก. ไม่รู้เลยว่าการเพิกเฉยต่อเอกสารดังกล่าว เท่ากับว่าเรายอมรับการประเมินภาษีนั้น ทำให้ไม่มีโอกาสได้โต้แย้ง
ซึ่งเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความร้ายกาจสุดจะบรรยายของสรรพากร เพราะคิดจะเก็บ VAT ย้อนหลัง แต่ให้เราเซ็นไม่เอา VAT ซื้อคืน เหมือนเขาติดเงินเรา 60,000 มาเจรจาขอให้ยกเลิกหนี้แล้วจบกัน พอเราโอเคต่อมามาบอกว่าแล้วหนี้ที่เราติดเขาสี่แสนต้องจ่ายด้วยนะ หนี้จากไหนเรายังไม่รู้เรื่อง แต่หนี้ 60,000 ที่เขาติดเรานั้นเรายกเลิกแล้ว ถ้าคิดจะเอาหนี้สี่แสนขึ้นมาทำไมไม่บอกให้เอาหนี้ 60,000 ไปลบหนี้เก่า
สองเดือนต่อมามีจดหมายจากฝ่ายกฎหมายว่าหากไม่ชำระภาษีจะทำการฟ้องร้อง ถ้อยคำในเอกสารเริ่มมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น คุณ ก. จึงรู้สึกว่าแปลก ๆ จึงลองปรึกษาผู้รู้หลายคน ปรึกษากับนักบัญชีได้คำตอบว่าเรื่องถึงฝ่ายกฏหมายแล้ว ทำอะไรไม่ได้ ปรึกษานักกฏหมายเขาบอกว่าทำอะไรไม่ได้ เรื่องกำลังฟ้องร้อง คุณปล่อยเรื่องมานาน ทำได้อย่างเดียวคือหนี
คุณ ก. ได้ติดต่อมาที่ผมโดยบังเอิญเพราะเห็นการตอบปัญหาทางอินเตอร์เน็ต ได้นัดเจอกันเพื่อคุยรายละเอียดของปัญหา ตอนแรกผมก็ยังไม่เข้าใจปัญหานะครับ เพราะปัญหาคือคุณ ก. ก็ยังไม่เข้าใจว่าปัญหาของตัวเองคืออะไร เกิดจากอะไร เกิดได้อย่างไร ผมจึงขอดูหมายนัดของสรรพากรล่าสุด เพื่อจะได้ติดต่อขอคุยกับเจ้าหน้าที่ ผมได้โทรคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย เจ้าหน้าที่บอกว่าเพราะมีจดหมายนัดแล้วไม่ยอมติดต่อมา เลยทำให้เรื่องมาถึงป่านนี้ ถ้ามีประเด็นลองกลับไปคุยกับผู้ประเมินภาษีดีกว่า
ผมจึงโทรหาฝ่ายประเมินภาษีที่ส่งเอกสารมา ได้คุยกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งชื่อคุณ ศ. ผมนัดขอเข้าไปคุยด้วยเพราะต้องการรู้ว่าประเมินจากอะไร ปัญหาคืออะไร เจ้าหน้าที่คนนี้ดูอายุยังน้อย เมื่อผมเข้าไปถึงก็มีเจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งเข้ามาร่วมเจรจาด้วย ตอนหลังถึงรู้ว่าคือคุณ ว. ที่เป็นต้นเหตุทั้งหมด คือคนที่หลอกให้เซ็นเอกสารต่าง ๆ และบอกให้ทำตัวหายไป ลักษณะคุณ ว. เป็นสรรพากรรุ่นเก่า พูดจาลักษณะข่มขู่ผู้เสียภาษี โดยในการเจรจาผมบอกว่าผมขอถ่ายคลิป(ไม่ขออนุญาตนะครับ เพราะเขาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ) คุณ ว. บอกว่าเพราะคุณ ก. ไม่ยอมติดต่อมาทำให้ต้องทำอย่างนี้ ผมจึงถามว่าก็คุณ ว. บอกว่าให้เขาหนีไปใช่ไหมครับ เธอตอบว่า ใช่ ผมถามย้ำอยู่ 2-3 ครั้ง เธอบอกว่านั่นคือการบรรเทาภาระภาษีอย่างที่สุดแล้ว ท่าทางการพูดเธอเหมือนพยายามข่มขู่ผม เธอจึงแสดงออกว่าเธอไม่กลัวอะไร
ผมกลับไปฝ่ายกฎหมายอีกครั้งบอกว่าที่เราล่าช้าเพราะคุณ ว. แนะนำให้เพิกเฉยต่อเอกสารสรรพากร ซึ่งเรามีหลักฐานคือคลิปวีดีโอที่คุณ ว. สารภาพ ฝ่ายกฎหมายบอกว่าเพราะเราปล่อยเวลามาตั้ง 2 เดือน ฝ่ายกฎหมายทำอะไรไม่ได้ถ้าเรื่องเกิน 15 วัน ให้ติดต่อไปที่สรรพากรภาคเพื่อขอขยายเวลา ผมได้ถามว่าการที่คุณ ว. แนะนำอย่างนี้ถือว่าทุจริตใช่หรือไม่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายบอกว่า “ใช่”
ผมได้ติดต่อไปที่คุณ ศ. ซึ่งเป็นลูกน้องคุณ ว. ว่าเราจำเป็นต้องเดินเรื่องสู่สรรพากรภาคเพราะทางฝ่ายกฎหมายบอกมาอย่างนี้ โดยเราจะอ้างว่าเราได้รับคำแนะนำจากคุณ ว. พร้อมคลิปวีดีโอนี้ที่คุณ ว. สารภาพจะใช้เป็นหลักฐานให้สรรพากรภาคพิจารณา วันต่อมาคุณ ก. ซึ่งเป็นผู้เดือดร้อนได้โทรหาผมพร้อมกับน้ำเสียงตกใจและแปลกใจว่า ทำไมจู่ ๆ คุณ ว. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรโทรเข้ามือถือคุณ ก. ถามว่าคุณ ก. ให้ใครมาคุยด้วย พร้อมกับอธิบายว่าการแนะนำให้หายไปนั้นเป็นการแนะนำส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับหน้าที่การงาน ตอนแรกผมสงสัยว่าทำไมคุณ ว. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรถึงรู้เบอร์มือถือผู้เสียหาย ซึ่งทางผู้เสียหายบอกว่าผมไม่เคยให้เบอร์มือถือไป ผมจึงเดาว่าน่าจะไปขอจากสำนักงานบัญชี ทำให้ผมค่อนข้างแน่ใจมากขึ้นว่ากรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น คุณ ว. และสำนักงานบัญชีที่ทางคุณ ก. ไปใช้บริการนั้นน่าจะร่วมมือกัน แต่ไม่รู้ว่าสำนักงานบัญชีนี้อาจรู้จักกับสรรพากรคนนี้มาก่อนโดยบังเอิญ หรือโดนสรรพากรข่มขู่ หรือต้องการเอาใจสรรพากรเพื่อรักษาผลประโยชน์ของลูกค้ารายอื่นที่ใช้บริการอยู่ เพราะคิดว่าในเมื่อลูกค้ารายนี้ปิดบริษัทแล้วคงมีอะไรต้องสนใจอีก
อีกสาเหตุหนึ่งที่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคุณ ว. ต้องการสร้างผลงานโดยมีสำนักงานบัญชีนี้ให้ความร่วมมือ คือเมื่อคุณ ว. ขอให้คุณ ก. ผู้เสียหายนำเอาเอกสารภาษีซื้อมาแสดง คุณ ก. ติดต่อไปยังสำนักงานบัญชีนี้ ตอนแรกเจ้าของ สนง.บัญชีบอกว่าเอกสารไม่อยู่เพราะเสียหายจากอุทกภัย ตอนหลังมีการโทรไปอีกครั้ง คราวนี้เจ้าหน้าที่ระดับล่างรับสาย บอกว่าข้อมูลอยู่ในคอม พิมพ์ให้ได้แต่ต้องขออนุญาตหัวหน้าก่อน จากนั้นเมื่อติดต่อไปที่ สนง. บัญชีนี้ ถ้าได้ยินเสียงคุณ ก. ทาง สนง.บัญชีวางสายเลยครับ จริง ๆ แล้วถ้าเราได้ข้อมูลในอดีตว่าเคยซื้อจากใคร หมายเลขใบกำกับ วันที่ เราสามารถติดต่อไปที่ผู้ขายเหล่านั้นเพื่อขอข้อมูลย้อนหลังได้ แต่เราไม่มีข้อมูลเหล่านี้จึงไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ผมคิดว่าแม้เราจะได้ข้อมูลทั้งหมดและไปหาผู้ขายที่เคยออกใบกำกับให้เรา ถ้าเจอเจ้าหน้าที่สรรพากรอย่างคุณ ว. เขาก็อาจจะบอกว่าไม่ยอมรับก็ได้ ดังนั้นการมีภูมิคุ้มกันสรรพากรที่ดีจะเป็นสิ่งที่ป้องกันปัญหาจากเจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้
หลังจากนั้นได้ไปติดต่อสรรพากรภาค ซึ่งมีแบบฟอร์มคำร้องขอขยายเวลา รวมทั้งอุทธรณ์การประเมินภาษีของสรรพากรนี้ โดยเราระบุว่าที่มาร้องขอขยายเวลาเพราะการทุจริตของคุณ ว. ตามหลักฐานในคลิปวีดีโอนี้ ตอนแรกทางสรรพากรภาคขอให้เอาประเด็นเรื่องการทุจริตออกไป เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น เช่น ไม่ได้อยู่ประเทศไทย หรือไปอยู่ในที่ ๆ ติดต่อลำบาก ฯลฯ เพราะการอนุมัติจะง่าย แต่เราปฏิเสธ บอกว่าถ้าสรรพากรภาคไม่สามารถขยายเวลาได้ก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยเมื่อเรื่องถึงศาลปกครองเราจะได้บอกว่าสรรพากรภาคไม่สามารถแก้ปัญหาได้ หากประชาชนผู้เสียภาษีได้รับความเดือดร้อนจากการทุจริตของเจ้าหน้าที่สรรพากร ผลสุดท้ายทางสรรพากรภาครับเรื่องและให้รอฟังผล (ต้องให้คำตอบภายใน 85 วัน) ผมทราบว่าว่าสรรพากรภาคขอให้สรรพากรเขตที่ประเมินภาษีชี้แจงปัญหามา และสรรพากรเขตกำลังสอบสวนคุณ ว. อยู่ จะลองดูว่าเรื่องจะจบอย่างไร เพราะหากสรรพากรภาคไม่ขยายระยะเวลาให้ เรื่องก็จะดำเนินต่อไปยังสรรพากรกลาง และหากไม่อนุมัติจะได้เป็นคดีระหว่างผู้เสียภาษีกับกรมสรรพากรที่จะขึ้นสู่ศาลปกครองกลาง ว่าประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ คือ คุณ ว. แต่เหมือนเรื่องการทุจริตแบบนี้ทางสรรพากรก็รู้ ๆ อยู่ แต่ไม่มีใครดำเนินการอะไรเพราะสรรพากรได้ผลงาน แต่ครั้งนี้มีหลักฐานชัดเจน ลองดูว่าสรรพากรจะตัดสินใจอย่างไรกับปัญหานี้
ล่าสุดวันที่ 17 ม.ค. 57 ที่ผ่านมานี้ถึงกำหนดที่สรรพากรภาคต้องให้คำตอบแล้ว แต่ยังเงียบไม่มีคำตอบจากสรรพากรภาคแต่อย่างใด แต่จากความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงนี้สำนักงานสรรพากรภาคถูกปิดล้อมโดยฝูงชน (เพิ่งปิดได้แค่ 2 วัน แต่รอมา 85 วันแล้ว) อย่างไรเสียหากมีความคืบหน้าใด ๆ จะรายงานความคืบหน้าให้ทราบที่นี่นะครับ
(เพิ่มเติม)
หลังจากที่ม็อบเลิกปิดกรมสรรพากรและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สรรพากรภาคก็ได้มีหนังสือตอบกลับมา วินิจฉัยว่าไม่อนุญาตให้ขยายเวลาและอุทธรณ์ในกรณีดังกล่าว และฝ่ายกฎหมายก็จะดำเนินการต่อไป อาจมีการเร่งรัดภาษีหรือสั่งฟ้องคุณ ก. ผู้เสียหายหรือไม่ก็ต้องดูอีกที อย่างไรก็ดีการประเมินมีความผิดพลาดหลายจุด ที่เห็นชัด ๆ คือบริษัทปิดไปแล้วตั้งแต่ปี 2555 แต่การประเมินเกิดขึ้นในปี 2556 ซึ่งตามหลักแล้วก่อนปิดบริษัทสรรพากรจะต้องตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนจะปิด และเมื่อบริษัทปิดไปแล้วจะไปตามภาษีจากใคร เป็นต้น
ส่วนคำวินิจฉัยของสรรพากรภาคนั้นพิจารณาว่าเราได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ แต่ภายหลังเรากลับใจเลยกลับมาติดต่อ แต่ไม่ได้บอกว่าเจ้าหน้าที่คือคุณ ว. ประพฤติมิชอบในหน้าที่แต่อย่างใด หลังจากพิจารณานี้แล้วนั่นหมายความว่ากระบวนการภายในกรมสรรพากรสิ้นสุดลงแล้ว คงทำอะไรต่อไปไม่ได้ในกรมสรรพากรนี้
ดังนั้นคุณ ก. จึงดำเนินการต่อโดยการส่งเรื่องร้องเรียนปัญหาดังกล่าวไปยัง “สำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน” (สผผ) เพื่อให้พิจารณาในประเด็นที่ว่า เราได้รับความเดือดร้อนจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ โดยเราได้ส่งหลักฐานคลิปการสนทนาที่คุณ ว. ได้ยอมรับว่าแนะนำให้ทำตัวหายไปจริง ๆ ให้กับ สผผ. พิจารณา ซึ่งทาง สผผ. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเจ้าพนักงานกระทำความผิดจริงและจะเรียกมาสอบสวน แต่ผลจะเป็นอย่างไรจะรายงานให้ทราบต่อไปนะครับ