สู้กับสรรพากร อยู่ที่ใจ
เป็นเคสหนึ่งในจังหวัดทางภาคกลาง เป็นคุณแม่ลูกสามคนหนึ่งขายของออนไลน์ ปรากฏว่าขายดีมาก วันหนึ่งสรรพากรติดต่อมาให้เข้าไปพบ พร้อมเอกสารต่าง ๆ และที่สำคัญที่สุด บัญชีเงินฝากทั้งหมด เธอรู้แล้วว่าภัยกำลังมาเยือน แต่อย่างไรเสียก็ต้องแก้ปัญหาให้ได้ เธอจึงให้คนรู้จักที่เป็นนักบัญชีช่วยดูปัญหาให้ เอาสมุดบัญชีให้นักบัญชีคนนี้ดู เมื่อนักบัญชีไปพบสรรพากร อาจด้วยความอ่อนประสบการณ์หรืออย่างไรไม่ทราบ นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้วยังหลุดปากบอกสรรพากรไปว่ามียอดขายเท่าไหร่ (หลายล้าน)
เมื่อสรรพากรได้ยินดังนั้นจึงติดต่อมาหาเธอ เพื่อขอให้นำสมุดบัญชีไปให้ดู เมื่อไปถึงเธอต้องพบกับเทคนิคการกดดันจากสรรพากรต่าง ๆ นา ๆ เช่น สรรพากรบอกว่า เคสนี้เคสใหญ่ ตัวเขารับเองไม่ไหวขอให้คุยกับหัวหน้าดีกว่า จากนั้นพาเธอไปคุยกับหัวหน้า หัวหน้าคุยแล้วบอกรับไม่ไหว ขอให้คุยกับผู้ใหญ่ดีกว่า เธอก็ถูกพาตัวไปคุยกับผู้ใหญ่ในหน่วยงานนั้น เธอบอกวันนั้นเธอเตรียมเงินสดมาเกือบล้าน หวังว่าถ้าจ่ายแล้วยอมจบเรื่องดี ๆ เธอยอมจ่าย แต่สรรพากรก็ยังยืนยันว่าจะขอดูสมุดบัญชีให้ได้ เพราะจากข้อมูลที่สรรพากรได้จากนักบัญชีน่าจะรีดภาษีได้เกือบสิบล้าน สรรพากรขู่ว่าให้รีบส่งสมุดบัญชีมา ถึงไม่ส่งมาก็ไปขอธนาคารเองได้
หลังจากนั้นเธอได้หาข้อมูลจากในเว็บไซต์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการแก้ปัญหาภาษีอากร และได้โทรมาคุยกับผม ฟังจากน้ำเสียงเหมือนคนกำลังสิ้นหวัง เธอบอกว่าเข้าใจแล้วว่าคนที่คิดฆ่าตัวตายเขารู้สึกอย่างไร แต่ยังโชคดีที่มองดูลูกแล้วคิดดูใหม่ว่าถ้าแม่ตายไปแล้วลูกจะอยู่อย่างไร จึงมีกำลังใจอีกครั้งที่จะแก้ปัญหา ผมได้แนะนำว่าห้ามส่งสมุดบัญชีให้ไป ให้ยื้อให้สุด ๆ และถ้าเขาบอกไปเอาเองได้ก็ให้เขาเข้าไปเอาเอง เราไม่มีหน้าที่อำนวยความสะดวก
การเผชิญหน้ากับสรรพากรสำคัญที่ใจ ถ้าใจสู้เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้ แต่ถ้าเราใจไม่สู้เราแพ้ตั้งแต่ต้น นี่คือปัญหาหลักของคนที่ถูกสรรพากรรีดภาษี ผมก็เลยเล่ากรณีของผมว่าผมเคยเข้าไปคุยกับสรรพากร เขาก็บอกหัวหน้าขอคุยด้วย ผมตอบว่า “ถ้าอยากคุยก็ให้หัวหน้าเดินมาคุยกับผมสิครับ” สรรพากรอึ้งไปแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร” ขอให้คิดว่าจะใหญ่แค่ไหนก็คือคนที่กินเงินเดือนจากภาษีเรา ดังนั้นคนพวกนั้นติดหนี้บุญคุณเรา เราไม่ต้องกลัว
สุดท้ายเธอจึงไม่ยอมมอบสมุดบัญชีให้กับสรรพากร ผลก็คือสรรพากรทำอะไรไม่ได้เลย เหมือนเจ้าหน้าที่คนนี้ไปตกลงกับหัวหน้าว่าจะรีดเคสนี้ให้ได้มาก ๆ แต่สิ่งที่เธอทำสารพัดเรื่อง เช่น ย้ายชื่อตัวเองไปอยู่ในที่ ๆ กันดารมาก ๆ ล่อให้สรรพากรตามไป สุดท้ายเจ้าหน้าที่ไปหาตามทะเบียนบ้าน เธอไม่อยู่ หลังจากนั้นก็แกล้งย้ายหนีไปเรื่อย ๆ เลือกที่ ๆ เข้าถึงยาก ๆ จนสุดท้ายเจ้าหน้าที่ขอพบสามีของเธอ เพื่อฝากมาบอกเธอว่า ขอให้ช่วยย้ายชื่อออกจากจังหวัดนี้ด้วย เพราะตามไม่ไหวแล้ว เจ้าหน้าที่จะได้ปิดเรื่องได้
สรุปคือเงินหนึ่งล้านที่เตรียมไว้จ่ายภาษีก็ไม่ต้องจ่าย แถมยังได้แกล้งสรรพากรที่เคยข่มขู่เธอด้วย เธอบอกสะใจที่สุด จริง ๆ แล้วถ้าเจ้าหน้าที่ยอมเจรจาดี ๆ เจอกันครึ่งทางก็น่าจะตกลงเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่าย แต่เจ้าหน้าที่พยายามที่จะรีดภาษี แม้จะถูกต้องตามกฏหมายก็ตาม แต่การขายของออนไลน์เพิ่งจะเข้าสู่ระบบภาษีอากรมาไม่ถึง 6 เดือน การที่จะมารีดภาษีย้อนหลัง 2-3 ปีแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมกับผู้เสียภาษี ยิ่งถ้าเขายอมจ่ายแล้วกลับพยายามขูดรีดจนผู้เสียภาษีไม่มีทางออก เมื่อผู้เสียภาษีฮึดสู้ขึ้นมากลายเป็นเจ้าหน้าที่เดือดร้อนเอง
บทเรียนที่ได้จากเรื่องนี้ก็คือ การเผชิญหน้ากับสรรพากรอยู่ที่ใจ ถ้าใจไม่กลัวสรรพากรก็ทำอะไรเราไม่ได้ และอีกอย่างคือการส่งคนที่เหมาะสมเข้าไปพบกับเจ้าหน้าที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด